เขาพระแทว

เขาพระแทว
ลั๊ลล๊าถ่ายทำสารคดีกันค้าฟ

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความสุขที่หายไป..ตามกลับคืนได้หรือยัง

หากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่าและสามารถฟ้องอนาคตข้างหน้าว่า จะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว


คนเรามักมีภาพของความรู้สึกดีๆ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของตัวเองเสมอ อาจเป็นความรู้สึกพึงใจที่เล็กๆ กระทั่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เคยสัมผัส แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงใด แต่ความทรงจำนั้นก็ไม่มีวันเลือนหายไปจากใจซึ่งถูกเก็บไว้ในอดีตของวันวาน

ทว่าอดีตก็เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้ายเพียง ใด ก็ชื่อว่าเป็นประสบการณ์ที่ชีวิตได้ล่วงเลยผ่านมา แต่คนเรากลับชอบที่จะรื้อฟื้นความทรงจำเหล่านั้นเสมอ จึงเกิดภาพซ้อนที่ทำให้ติดอยู่ในความทรงจำทั้งเรื่องที่ดีและร้ายคละเคล้ากันเรื่อยมา

บ้างก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี บ้างก็จมอยู่กับความหมองเศร้าที่ไม่รู้ว่าจะให้สลายไปจากใจได้อย่างไร อดีตจึงมีอิทธิพลสำหรับคนที่รู้เท่าไม่ทัน ทำให้เจ้าของชีวิตต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้น

แต่ปราชญ์ทั้งหลายกลับเชิญชวนให้คนเราหันกลับมาทำความเข้าชีวิตในปัจจุบันเป็นหลัก เพื่อให้มีเวลาทำความรู้จักกับความจริงที่มี และเข้าใจภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน โดยไม่ยึดติดกับภาพเดิมๆที่มีอยู่อีกต่อไป เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ส่วนอนาคตก็เป็นภาวะที่ไปยังไม่ถึง ทุกความคิดและการกระทำจึงควรยุติอยู่ที่ปัจจุบันเป็นสำคัญ

แต่ใช่ว่าความทรงจำที่ผ่านมาจะเลวร้ายเสียทีเดียว เพราะถ้ารู้จักใช้อดีตที่ผ่านมาเป็นครูสอนชีวิตให้ฉลาดขึ้น อดีตนั้นก็สามารถก่อเป็นความงามได้เช่นกัน เพราะเมื่อไม่สามารถลบล้างอดีตได้ เราก็ควรเรียนรู้ชีวิตผ่านอดีตนั้น โดยใช้เป็นอุปกรณ์ในการสอนปัจจุบันที่ประสบอยู่แต่ละขณะให้ดีขึ้น เป็นการใช้ปัจจุบันเป็นตัวการแก้ไขข้อบกพร่องในวันวานที่ผ่านมา เพื่อให้ความทรงจำเหล่านั้นมีชีวิตจริงขึ้นมาได้

ถ้าอดีตที่ผ่านมาเป็นความทรงจำที่เลวร้าย อาจจะเกิดจากความคิดและการกระทำที่ไม่เป็นดังใจหวัง เราก็ใช้ปัจจุบันที่มีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง

หากเป็นอดีตที่ดีงามในความทรงจำ ทุกอย่างที่ผ่านมาช่างก่อ ให้เกิดคุณค่าต่อชีวีที่มีอยู่ ก็ให้เอาอดีตเหล่านั้นมาสอนปัจจุบันให้รู้จักต่อยอดสิ่งที่ดีนั้นไว้ มิใช่ทิ้งขว้างให้จากไปโดยไม่รู้จักใส่ใจ

เพราะหลายครั้งจะเห็นได้ว่าคนเราเวลาทำอะไรในปัจจุบันที่ขาดหลัก และหลงลืมอดีตที่ดีงามของตน สุดท้ายเส้นทางสายใหม่ที่คิดว่าจะไฉไลกว่าเดิม ก็เต็มไปด้วยขวากหนามที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บตัวอยู่เรื่อยมา

" ความสุขที่หายไปในชีวิตเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา

เราตามเก็บรายละเอียดเหล่านั้นคืนได้หรือยังในปัจจุบัน ?..."

ดังนั้น เมื่อปรารถนาให้ความสุขกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เราจึงต้องเรียนรู้การตามเก็บความสุขด้วยความเข้าใจ ใส่ใจในรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะมองความสุขให้รอบด้านด้วยปัญญาที่มาจากความเข้าใจ

เพราะหากรู้จักมองชีวิตให้ครบทุกด้าน กาลเวลาที่เราสมมุติว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบันย่อมเป็นครูสอนชีวิตให้มีคุณค่า และฟ้องอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นเช่นไรได้ด้วยภาวะที่ลงตัว

อดีตที่เลวร้ายหากไม่ได้รับการแก้ไข ย่อมฟ้องปัจจุบันว่าจะประสบกับความหมองเศร้าทวีคูณ
ปัจจุบันที่ไร้ค่า ย่อมฟ้องความไร้ค่าในอนาคตเช่นกัน
อดีตที่สวยงามย่อมต่อยอดเป็นความดีได้ในปัจจุบัน
ปัจจุบันที่เปี่ยมด้วยคุณค่าแห่งชีวี ย่อมเป็นอาภรณ์ฟ้องอนาคตที่จะพึงมีให้งดงามตลอดไป

ด้วยเหตุนี้แม้กาลเวลาจะดำรงอยู่บนความไม่แน่นอนของชีวิตเพียงใด แต่เราก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ...

จะให้ชีวิตที่ผ่านมาเป็นครูสอนอะไร ?
จะทำปัจจุบันที่มีอยู่ส่งต่อไปสู่อนาคตอย่างไร ?
ความสุขที่หายไปจึงจะกลับคืนมาสู่ชีวิตของเราด้วยความลงตัว...*



"You can't change the past but you can change the future into a better past!!!"

"คุณไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอดีตได้

แต่สิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คืออนาคตเพื่อที่จะเป็นอดีตที่ดีกว่า"


วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อพบจุดจบ...จึงเห็นจุดเริ่มต้น



หลายต่อหลายคน...
ที่มักประสบกับปัญหาชีวิตเหล่านี้...
>>>…เคยท้อ
>>>…เคยผิดหวัง
>>>…เคยเศร้า
>>>…เคยร้องไห้...เสียน้ำตา...
>>>…เคยเป็นทุกข์...อยากจบชีวิต..ด้วยวิธีการต่าง ๆ..



แต่คุณทราบหรือไม่ว่า...
เมื่อพบจุดจบ...จะทำให้เราเห็นจุดเริ่มต้นในชีวิตที่ดีกว่า...
ถ้าเราได้พิจารณาอย่างมีสติ...
>>>…หยุดคิดสักนิด...
>>>…เพื่อให้เวลากับสติ....
>>>…ได้พิจารณาความเป็นไปของชีวิต...
>>>…และได้อยู่กับตนเอง...



หลายต่อหลายครั้ง...
>>>…ที่เรามักมองข้ามจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของชีวิต...
หลายต่อหลายครั้ง...
>>>…ที่เราปล่อยให้วัน เวลา และโอกาสผ่านไป...
>>>…โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย...
นอกจาก...
>>>…เป็นทุกข์กับสิ่งที่ผิดหวัง..
>>>…ท้อแท้กับสิ่งที่ทำผิดพลาด...
>>>…และเสียใจ...เป็นทุกข์...กับการกระทำของตนเอง...



จุดเริ่มต้นของชีวิต..
เราจะค้นพบก็ต่อเมื่อ...>>…เราเจอจุดจบของปัญหา...

เมื่อเจอปัญหา...
เมื่อเจออุปสรรค...
>>>…เชื่อหรือไม่ว่า...
>>>…เรากำลังจะพบทางออกของชีวิต..
>>>…และพบทางออกของปัญหา...



เพียงแค่...
>>>…เราหยุดมองต้นตอของปัญหาสักนิด..
>>>…อย่าที่จะเอาตัวของตัวเราเอง...ไปอยู่... “ในปัญหา”...
>>>…จงหยุดและแยกตัวออกมาจากปัญหา...
>>>…และทำตัวของเรา..
>>>…เป็นเพียงแต่ผู้ดู...ผู้อยู่...และรู้อย่างเข้าใจ...



วิธีง่าย ๆ เมื่อเจอปัญหา คือ..
>>>…จงหยุด..เพื่อเริ่มต้น...
>>>…และเรียนรู้ที่จะใช้สติแก้ปัญหาอย่างเข้าใจ...



ทุกครั้งที่เจอปัญหา...
>>>…อย่าที่จะพยายามกระโดดข้ามปัญหานั้น..
>>>…เพราะปัญหามีไว้ให้แก้...ไม่ใช่มีไว้ให้หนี...
>>>…เพราะยิ่งหนี...ยิ่งเจอ..และยิ่งทุกข์...
>>>…แต่จงเปลี่ยนตัวปัญหา...เป็น....ตัวปัญญา...
>>>…โดยใช้สติ...หยุดคิดสักนิด...ด้วยสติพิจารณา..

ขอบคุณบทความจาก ธรรมไทย

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความรักที่มันใกล้ .. จนน่ากลัว


ความรักที่มันใกล้ .. จนน่ากลัวมีสอง แบบ


แบบแรก - - ความสงสาร

อาจ ทำให้เกิดความรักได้แต่ความสงสารไม่สามารถหล่อเลี้ยงความรักได้ทั้งหมดความรัก ของแต่ละคน ก็ย่อม แต่ละรูปแบบ แต่ท้ายที่สุด แต่ละคน แต่ละรูปแบบ แต่ก็คล้ายกันคบกัน เหตุเพราะ ความสงสาร มากกว่า ความรัก ความผูกพัน ซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ต่างจาก การเหนี่ยว ดึง รั้ง, คนที่เรารักเอาไว้จะเหนี่ยว จะดึง จะรั้ง คนของความรักได้อีกนานเท่าไร .. คุ้มค่า กับ ความเจ็บปวด งั้นรึ ??


แบบสอง - - แอบชอบคนมีเจ้าของ

จนยอมเป็น รักรอง..รองจากที่หนึ่งไม่เกิดกับตัวคงไม่มีใครเข้าใจลึกซึ้ง คล้ายกับ รู้เขาหลอกก็เต็มใจให้หลอกจะทำยังไงได้เล่า ..ก็ รัก ไปแล้ว(อาจจะ)ยากเกินกว่า ถอนตัว ถอนใจความรักบน ความเจ็บปวด ความทุกข์ ความระทมทั้งที่หนึ่ง สอง และสามจะเหนี่ยว จะดึง จะรั้ง คนของความรักได้อีกนานเท่าไร .. คุ้มค่า กับ ความเจ็บปวด งั้นรึ ??


แม้นความรักจะอยู่รอบตัว .. มีสิทธิที่จะเลือก มีสิทธิที่จะปฏิเสธ


แต่ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก- ยากที่จะหักห้ามใจ


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


ความรักทั้ง สอง แบบ ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่มันก็ใกล้


กระทั่งบางครั้งเราก็รับรู้ รู้สึกได้ กับสิ่งที่เกิด และ เปลี่ยนแปลง

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนูรัก "พ่อ" น่ะ

กลเม็ดลับอัพสมองให้ปิ๊ง ปิ๊ง


เพราะวัยรุ่นอย่างน้องๆ ทั้งหลายต้องใช้สมองในการเรียนหนังสือ แม้แต่วัยผู้ใหญ่ก็ต้องใช้สมองในการทำงาน ซึ่งสมองเวลาใช้งานหนักๆ เข้ามันก็เหนื่อยก็ล้า และอาจจะหลงลืมอะไร ความจำก็ไม่ดีเหมือนตอนเป็นเด็ก ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมเคล็ดลับที่ทำให้สมองแล่นปรู๊ดปร๊าดมาฝาก รับรองเลยว่าถ้าทำตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตข้างหน้าคุณจะไม่เฉียดกรายโรคอัลไซเมอร์แน่นอนค่ะ

1.
หากอยากจะจดจำให้แม่น
การงีบนอนให้หลับ โดยเฉพาะเวลากลางวันนาน 90 นาที จะได้ผลดีที่สุด

2.
สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เซลลสมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึง
ควรดื่มน้ำบ่อย

3.
นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้วให้ตั้งสติและ
นั่งสมาธิทุกเช้าวันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าหากทำไม่ได้ในตอนเช้าก็ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4.
ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามเหมือนเป็นการตั้งโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึง
เป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5.
ทุกครั้งที่
ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7.
ลับสมองด้วยการเล่นสแคร็บเบิ้ล หรือเล่นคิวบิกทุกวัน

8.
ขณะที่เราไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง
การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

9.
เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมอง
คิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

10.
สมองใช้ออกซิเจน 20-25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลาเย็น หรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%

ข้อมูลจาก :
http://www.womaninfocus.com/knowledge-044.htm